เมื่อพูดถึงเรื่องของประจำเดือน อีกหนึ่งอาการสำคัญที่มักเกิดขึ้นกับหญิงสาว นั่นก็คืออาการ ช็อกโกแลตซีสต์ หรืออาการเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ ที่เป็นปัญหาหลักที่ทำให้หญิงสาวปวดท้องประจำเดือนอยู่เป็นประจำ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดออก
วันนี้ Mamastory จะพาไปทำความรู้จักกับอาการดังกล่าวให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่เป็นอันตรายมากเกินไป พร้อมทั้งมีวิธีเช็กอาการเบื้องต้นมาฝากด้วย หากพร้อมแล้วติดตามอ่านด้านล่างได้เลยค่ะ !
ช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร ?
ช็อกโกแลตซีสต์ หรือถุงน้ำช็อกโกแลต (Chocolate Cyst) หรือที่ในทางการแพทย์เรียกว่า “เยื่อบุโพรงมดลูก เจริญเติบโตผิดที่” ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นจากเลือดประจำเดือนบางส่วน ไหลย้อนกลับขึ้นไปยังท่อนำไข่ โดยที่ยังมีเยื่อในช่องคลอดบางส่วน ที่ควรต้องหลุดออกมาตอนช่วงมีประจำเดือน วนกลับเข้าไปด้วย จนเซลล์นี้ขยายกลายเป็นถุงน้ำ เมื่อมีการสะสมของเลือดในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เลือดที่ค้างอยู่ในนั้นจะกลายเป็นสีน้ำตาล มีลักษณะเหมือนช็อกโกแลต จึงถูกเรียกว่า “ถุงน้ำช็อกโกแลต” หรือ “ช็อกโกแลตซีสต์”
เมื่อผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องการปวดประจำเดือนบางคน ตัดสินใจไปส่องกล้องตรวจภายใน แล้วแพทย์วินิจฉัยว่าเป็น “ช็อกโกแลตซีสต์” อาจจะเป็นการพบสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปวดประจำเดือนหนัก เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงมีโอกาสทำให้ผู้หญิงคนนั้นมีลูกยาก มีโอกาสแท้งง่าย และรวมไปถึงอาจจะพัฒนาเป็นโรคอื่น ๆ ของผู้หญิงต่อไปได้ค่ะ !
บทความที่เกี่ยวข้อง : มะเร็งปากมดลูก โรคร้ายที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต อันดับต้น ๆ ของหญิงไทย
กลุ่มเสี่ยงเป็นช็อกโกแลตซีสต์
ในปัจจุบันมีผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นโรคนี้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักเป็นในช่วงที่เริ่มมีประจำเดือนแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ก็ใช้เวลานาน โดยส่วนใหญ่แล้วการปวดประจำเดือน เป็นอาการปกติที่พบได้ในผู้หญิงทุกคน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มปวดหนักขึ้นในช่วงอายุ 18-19 ปีเป็นต้นไป
รวมไปถึงหญิงที่มีประจำเดือนใหม่ ๆ มีโอกาสเป็นได้มากกว่าวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งคนที่ในครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็มีโอกาสเป็นได้เช่นกัน รวมไปถึงหญิงที่มีลูกตอนอายุมาก ก็อาจตรวจพบได้ในภายหลังค่ะ แต่ที่น่าห่วงที่สุดก็คือ ยังมีข้อมูลระบุว่าผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ และดื่มกาแฟมาก ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นช็อกโกแลตซีสต์ได้มากกว่าเดิม
อาการของช็อกโกแลตซีสต์
อย่างที่บอกในข้างต้นว่า ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นโรคที่สามารถพบได้บ่อย ในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งอาการที่อาจพบได้นี้ สามารถพบได้ในอาการของโรคอื่นด้วยเช่นกัน แต่โดยส่วนมากแล้ว ผู้ที่เป็นโรคนี้ มักจะมีอาการดังนี้
- เมื่อเป็นประจำเดือน จะปวดท้องน้อยเรื้อรัง ปวดยิ่งขึ้นในเดือนต่อ ๆ ไป
- มีอาการปวดด้านหน้าตั้งแต่สะดือ – อุ้งเชิงกราน ส่วนด้านหลังปวดบั้นเอวไปจนก้นกบ
- บางรายมีอาการปวดประจำเดือน จนเป็นลม
- ปวดท้องหนักเวลาขับถ่าย รวมถึงอุจจาระ/ปัสสาวะเป็นเลือด
- ปวดเสียดในท้องเวลาเป็นประจำเดือน
- ช่วงเป็นประจำเดือนจะปวดและปัสสาวะบ่อย
- ปวดหลัง และปวดร้าวลงขา
ซึ่งบางรายอาจจะรู้สึกเจ็บช่องคลอด จุกเสียด หรือแสบหนัก เมื่อมีเพศสัมพันธ์ อีกทั้งมีปัญหาท้องยากในอนาคตได้ค่ะ
วิธีสังเกตตัวเองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าแล้วตกลงสามารถเป็นได้หรือไม่ อย่างที่บอกว่าโรคนี้มักพบในหญิงเจริญพันธุ์แล้ว เท่ากับว่าช่วงอายุ 20-40 ปีเป็นช่วงที่มีโอกาสเป็นได้มากที่สุด ซึ่งตรงนี้สามารถเริ่มต้นจากการสังเกตตัวเองได้เลยค่ะ ว่ามีความผิดปกติจากการปวดท้องมากน้อยแค่ไหน จากเดิมตัวเองเคยมีอาการเท่าที่เป็นหรือเปล่า ถ้าเกิดอยู่ดี ๆ ปวดท้องจนต้องหยุดงาน ให้ต้องสงสัยไว้ก่อนเลยว่า อาจจะเป็นช็อกโกแลตซีสต์ได้ และต้องไปหาหมอเพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจน นอกจากนี้ยังสามารถสังเกตอาการดังต่อไปนี้เผื่อไว้ด้วยได้ค่ะ
1. ปวดท้องมากผิดปกติ และปวดขึ้นทุกเดือน
ในผู้หญิงบางคนอาจมีอาการปวดท้องช่วงมีประจำเดือนเป็นปกติ แต่ถ้าเมื่อไรที่มีอาการปวดมากกว่าปกติ และในเดือนถัดไปปวดยิ่งกว่าเดิม อาจมีความเสี่ยงสูงว่าต้องสงสัยเป็นโรคนี้ โดยอาจจะปวดทั้งท้องด้านหน้าและด้านหลัง เริ่มจากสะดือ อุ้งเชิงกราน บั้นเอว ก้นกบ ก็จัดรวมอยู่ด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึงอาการปวดท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์ด้วยค่ะ
2. ประจำเดือนมามาก หรือมานานผิดปกติ
โดยปกติแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่มักมีประจำเดือนอยู่ราว ๆ 5-7 วัน แต่ในบางคนก็มีแค่ 3-5 วัน ซึ่งถ้าเป็นการมาที่มากกว่าปกติ หรือกินระยะเวลานานกว่า และมีเลือดออกผิดปกติ ให้ต้องสงสัยได้เลยค่ะว่าอาจเป็นช็อกโกแลตซีสต์ได้
3. ประจำเดือนมาถี่
โดยระยะห่างของวันที่มีประจำเดือนแต่ละรอบ มีระยะที่สั้นกว่าปกติ กล่าวคือเป็นเดือนละ 2 ครั้ง
4. ปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกติ
เนื่องจากการเจริญเติบโตของก้อนซีสต์ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เกิดการเบียดกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติ ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น รวมไปถึงการถ่ายหนักถ่ายเบาที่มีเลือดปะปนด้วยค่ะ
5. เป็นคนผอมที่ลงพุง
สำหรับผู้ป่วยบางราย ไม่ว่าจะออกกำลังกายแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นคนผอมที่มีพุง ให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนได้เลยว่า อาจจะมีถุงน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นภายในท้องอยู่ค่ะ แล้วให้รีบไปหาหมอเพื่อวินิจฉัยโดยเร็วค่ะ
6. ปวดหัว ปวดไมเกรนบ่อย
สำหรับผู้หญิงบางคนที่มีประจำเดือน จะมีอาการปวดหัวหรือปวดไมเกรนร่วม แต่ไม่บ่อยเท่าไรนัก แต่ถ้าหากช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน มีอาการปวดไมเกรนบ่อย และหายยาก ให้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ได้เลยค่ะ
7. ไม่มีอาการแปลก แต่คลำเจอก้อนแข็ง
บางคนไม่มีอาการใด ๆ ตามข้อด้านบน แต่เมื่อเอามือคลำ จะพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อย อาจจะอยู่ตรงกลางหรือด้านข้าง ที่อาจเป็นเพราะถุงน้ำโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่ และอยู่ในระยะที่เป็นอันตราย
วิธีการรักษา
การรักษาช็อกโกแลตซีสต์ แพทย์จะประเมินความเสี่ยงจากอาการ ขนาด และตำแหน่งของซีสต์ ก่อนที่จะเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับคนไข้ แต่ในปัจจุบันมักนิยมใช้การผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก เพราะเนื่องจากเป็นการรักษาที่ง่าย ใช้เวลาไม่นาน ไม่มีแผลเป็นขนาดใหญ่ อีกทั้งยังสามารถฟื้นตัวได้ไว
แต่ในการรักษาก็สามารถใช้วิธีการกินยาได้เช่นกัน เช่น การใช้ยาแก้ปวด, การใช้ยาเพื่อลดปริมาณประจำเดือน แต่ถ้าหากทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ถุงน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็มีความเป็นได้ได้ที่แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดในที่สุด
อย่างที่บอกค่ะว่าอาการช็อกโกแลตซีสต์ ชื่ออาจจะฟังดูน่ากลัว แต่ถ้าหากหมั่นสังเกตร่างกาย สังเกตความผิดปกติของตัวเอง แล้วรีบไปพบแพทย์เมื่อมีอาการต้องสงสัย ก็จะสามารถรักษาได้ก่อนที่อาการจะลุกลาม จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และไม่ส่งผลให้เป็นโรคอื่นต่อไปค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
หนองในเทียม (Chlamydia) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย !
แม่ท้องกับภาวะ เชื้อราในช่องคลอด อันตรายหรือไม่ ส่งผลต่อทารกอย่างไร